วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สวัสดีปีใหม่ครับ


สวัสดีปีใหม่พวกเราทุกๆ คนนะครับ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้พวกเราทุกคน มีความสุข สมใจปราถนาในทุกประการครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Steve Jobs “จงหิวโหย จงโง่เขลา”

โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้ สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย 17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้ แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชาศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy) Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่ บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา

Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

"การมีใครสักคนมาให้รัก"



"การมีใครสักคนมาให้รัก ก็เหมือน.....

การช่วยเติมเต็ม

ความว่างเปล่า

ในชีวิตเราได้...แต่ถ้าหากการมีความรัก

แล้ว ทำให้เราลืมที่จะรักตัวเองต้องสูญเสีย

บางสิ่งบางอย่าง หรือแม้กระทั่ง........

ความฝันของตัวเองแล้ว ฉันก็มองไม่ออกว่า

ความรักครั้งนี้ จะสวยงามได้อย่างไร....."

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550

นับตั้งแต่มีเธอเข้ามาในชีวิต



นับตั้งแต่มีเธอเข้ามาในชีวิต

บางทีก็ทำให้ฉันลืม

วิธีที่จะอยู่กับตัวเองไดอย่างมีความสุข

ทำให้ฉันลืมไปแล้วว่า.....

ตัวเองชอบอะไร....และไม่ชอบอะไร

รู้เพียงแต่ว่า....

มีสิ่งใดบ้างที่เธอชอบ

และฉันก็อยากทำสิ่งนั้นเพื่อมอบให้กับเธอ

เพราะเข้าใจผิดว่า....

นั่นคือวิธีที่ทำให้เราสุขใจในรักได้

แต่แท้จริงแล้ว....

มันกลับเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ฉันลืม

.....แม้กระทั่งการรักตัวเอง......

ทุกๆเช้า



"ทุกๆเช้าที่เราตื่นนอน

ลองบอกกับตัวเองว่า

เรามีทางเลือกอยู่สองทางคือ

จะเลือกว่ารู้สึกดีต่อตัวเอง

หรือรู้สึกไม่ดี.......

และเราจะเลือกอย่างหลังไปเพื่ออะไร"

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เพลงพระคุณที่สาม



เพลงพระคุณที่สาม


คำร้อง / ทำนอง ครูอร่าม ขาวสะอาด

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้
อบรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดี
ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น
ครูมีบุญคุณจะต้องเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า
ท่านสั่งสอนเราอบรมให้เราไม่เว้น
ท่านอุทิศไม่คิดถึงความยากเย็น
สอนให้รู้จัดเจนเฝ้าแนะเฝ้าเน้นมิได้อำพราง
* พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส
แต่ว่าใครหนอใครเปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง
ถ้าหากจะคิดยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง
มีใครไหนบ้างแนะนำแนวทางอย่างครู
บุญเคยทำมาตั้งแต่ปางใดเรายกให้ท่าน
ตั้งใจกราบกรานเคารพคุณท่านกตัญญู
โรคและภัยอย่ามาแผ้วพานคุณครู
ขอกุศลผลบุญค้ำชูให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร

* ร้องซ้ำ *

กตัญญู พ่อแม่


เวลาไม่มีเงิน คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่ แต่พอมีเงิน ... คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน อยากได้รถ ... คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่ แต่พอมีรถ ... คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ... มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน อาหารบนโต๊ะที่บ้าน .มีสำหรับพ่อและแม่ โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ... มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน ทีวี และสวนหน้าบ้าน ... มีไว้สำหรับพ่อและแม่ พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ... เพื่อความอยู่รอด

ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ... เพื่อให้หลับฝันดี เวลาเรามีความสุข . มักจะมองหาแฟนและเพื่อน เวลาเรามีความทุกข์ . คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่ เวลาประสบความสำเร็จ !.. เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่ ... แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่ เรามองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊กฯลฯ ... พ่อและแม่กลับทำงาน หรือ นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหา เงินในวันรุ่งขึ้น เพื่อแลกความสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ เวลาแต่งงาน ... คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่ คนที่มีความสุขคือลูก พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย

...........เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและ แม่พูด ...เป็นแค่เรื่องไร้สาระ พ่อและแม่ ...คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่พอลูกมีปัญหา . มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่ หรืออยากตาย!!!! พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจน ชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ??? คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด

แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณหรือยัง เค้าบอกว่า...ถ้าอ่านแล้วส่งต่อ ก็เท่ากับว่าได้ชี้นำให้ผู้ อื่นที่อยู่ใกล้ตัวคุณเห็นค่าของความรัก

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ผู้ชาย(อยากรู้ )..ถาม..ผู้หญิง(ก็จะตอบ)

ผู้ชาย(อยากรู้ )..ถาม..ผู้หญิง(ก็จะตอบ)
1. เวลาผู้หญิงเข้าห้องน้ำ จะเปิดซิปกระโปรงหรือถลกเอา?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก แต่ส่วนมากถลก

2. ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวเป็นคนเรียบร้อยใช่ไหม?
ตอบ : ไม่เสมอไป อาจเป็นแฟชั่น

3. มีเสื้อผ้าเต็มตู้ จนไม่มีช่องว่างให้แมลงสาบหายใจแต่ทำไมยังบอกว่าไม่มีอะไรจะใส่?
ตอบ : ก็หาที่ถูกใจกับอารมณ์วันนี้ยังไม่ได้ หรืออาจจะเรียกให้ดูดีหน่อยอาจจะบอกว่า เพื่อความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละวัน หรือว่าแฟชั่นช่วงนั้นๆ

4. ทำไมผู้หญิงต้องมุ่งมั่นเอากับการทำให้ผมตรงเรียบ แบบเอาเป็นเอาตายด้วย?
ตอบ : แล้วจะให้มันยุ่งทำไมละ

5. สวมร้องเท้าส้นสูงแหลมๆทำไมถึงทรงตัวได้ ?
ตอบ : เป็นพรสวรรค์ตั้งแต่ชาติก่อน

6. ไอ้เจ้ามาสคาร่านะ มันจะทำให้คุดูดีขึ้นเหรอ?
ตอบ : โคดๆ ถ้ายาวทิ่มตาผู้ชายได้ จะแฮปปี้สุดๆ

7. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เป็นโศกนาฏกรรมชีวิตเลยหรือ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่น้าหนัก แต่รวมถึงเอว ตะโพก พุง ต้นแขน ต้นขา และรอบคอ

8. ต้องการอะไรทำไมไม่พูดตรงๆและทำไมต้องคิดว่าผู้ชายต้องเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าด้วย
ตอบ : อ้าว ไม่รู้นี่ว่าผู้ชายไม่ฉลาด

9. เวลาคนอุ้มท้อง นอนหงายหรือนอนตะแคง?
ตอบ : ทั้งสองอย่าง แล้วแต่ความเมื่อย

10. ทำไมต้องเติมแป้งที่ใบหน้าอยู่ตลอดเวลา
ตอบ : อยากสวย

11. เป็นโสดทำไม?
ตอบ : ที่หาได้ก็ไม่ดี ที่ดีๆก็หาไม่ได้

12. ผู้หญิงตายด้าน มีหรือเปล่า?
ตอบ : ผู้หญิงที่ตายด้านก็เพราะคำตอบข้อ 11 นั่นแหละ

13. ทำไมต้องมีร้องเท้าหลายสิบคู่ด้วย มันต่างกันยังไง?
ตอบ : ทำไมผู้ชายถึงชอบมีเมียที่ละหลายคน มันต่างกันยังไง

14. ทำไมฝีมือการขับรถของผู้หญิงไม่เป็นสับปะรดเอาซะเลย?
ตอบ : ก็เพิ่งรู้ตอนคุณถาม แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้เมาแล้วขับ เอ๊อๆๆๆ

15. ทำไมผู้หญิงชอบกินผลไม้ดอง ?
ตอบ : แล้วทำไมผู้ชายชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่

16. เวลาคุณเสยผมแปลว่าเชิญชวนใช่ไหม?
ตอบ : ไม่ว่ากันถ้าจะคิดอย่างนั้น ขนาดผู้หญิงด่าคุณ ยังหาว่า ผู้หญิงชอบ

17. ไอ้กระเป๋าสะพายราคาเป็นหมื่นๆนั้น มันวิเศษยังไง?
ตอบ : แล้วสุราราคาแพงๆทำไมคุณบอกว่าอร่อยกว่าราคาถูกทั้งๆที่ดื่มแล้วก็เมาเหมือนกัน

18. กลัวลิปสติกเลอะเวลากินข้าว แล้วทำไมต้องทาก่อนออกไปกินข้าวด้วย?
ตอบ : คำตอบเดียวกันกับ คุณรู้ว่าเที่ยวผู้หญิง นอกใจเมียเสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ แล้วทำทำไม

19. ส้มตำเป็นยาอายุวัฒนะเหรอ?
ตอบ : ก็อยากผอม สวย และเอาใจผู้ชายอย่างคุณไง

20. ผู้หญิงสวมกระโปรงสั้น เพราะอยากอวดให้ผู้ชายเห็นเรียวขาหรือเปล่า?
ตอบ : ใช่ ไม่ได้แค่อวดกับผู้ชายนะกับผู้หญิง ถ้าฉันขาสวยฉันก็อยากอวดพวกหล่อนด้วยเหมือนกัน

21. ในการปฏิบัติกิจพิเศษ ผู้หญิงสามารถรับได้สูงสุดกี่หนในคราวเดียว?
ตอบ : ผู้ชายทำได้กี่หนก็รับได้เท่านั้นแหละ ว่าแต่ทำได้หรือเปล่าเหอะ

22. เสื้อชั้นใน ตะขอหน้ากับตะขอหลัง มันต่างกันตรงไหน?
ตอบ : ตะขอหน้าสำหรับผู้ชายมือใหม่ ตะขอหลังสำหรับขั้นเทพ คุณละ ขั้นไหน

23. เวลามีรอบเดือน เจ็บปวดหรือเปล่า?
ตอบ : เจ็บปวด ไม่ทุกคนและก็ไม่ทุกครั้ง

24. คุณซักกางเกงในกันบ่อยแค่ไหน?
ตอบ : บ่อยเท่าที่จะทำได้ นุ่งซ้ำไม่ลงเหมือนคุณหรอก

25. ผู้ชายเก่งกับผู้ชายรวย อย่างไหนมีน้ำหนักกว่ากัน
ตอบ : ถ้าทั้งเก่ง ทั้งรวย น้ำหนักจะดีมากๆ

26. ทำไมคุณเดินช้อปปิ้งโดยที่ไม่เหมื่อย ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อกันเลย
ตอบ : เวลาที่คุณดื่มสังสรรค์กับเพื่อนคุณถึงสว่าง คุณไม่อยากเลิก ไม่เหนื่อยไม่เบื่อ ไม่กลัวเมียเวลาเข้าบ้านบ้างหรือ

27. เพชรมันสวยยังไง ทำไมใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของกันหนักหนา
ตอบ : ก็มันสวยกว่าก้อนหินนี่

28. คุณนอนหลับท่าไหนกันบ้าง
ตอบ : ทุกท่าที่ทำให้หลับสบาย

29. จุดยุทธศาสตร์ของผู้หญิงน่ะ จริงๆแล้วมีตรงไหนบ้าง
ตอบ : ถามแฟนคุณจะดีที่สุด

30. คุณเคยช่วยตัวเองใช่ไหม
ตอบ : คุณถามเพราะไม่รู้จริงๆเหรอ

31. ผู้หญิงบ้างคนทำอาหารไม่เป็นเลยจริงๆหรือว่าแกล้งทำ
ตอบ : ทำน่ะ มันทำได้ แต่จะขาดรสอร่อย

32. ทำไมผู้หญิงวิตกจริตกันเอามากๆ
ตอบ : คุณเรียกว่าวิตกจริตแต่ผู้หญิงเรียกว่า กลัว

33. ทำไมผู้หญิงถึงได้ตั้งใจและเรียนเก่งกันนัก
ตอบ : ก็เพราะผู้หญิงขับรถไม่เป็นสับปะรดไง

34. ยามเข้านอน คุณสวมชุดชั้นในกันหรือเปล่า
ตอบ : แล้วแต่คน ส่วนมาก ไม่

35. ทำไมต้องรวบผมครึ่งเดียว
ตอบ : มันจำเป็นที่จะต้องรวบหมดด้วยเหรอ

36. ตอนสวมชุดเกาะอก เปิดไหล่ใส่เสื้อชั้นในกันหรือเปล่า
ตอบ : ใส่บ้าง ไม่ใส่บ้างแล้วแต่ชุด

37. ตอนสวมชุดว่ายน้ำ คุณสวมกางเกงในด้วยหรือเปล่า
ตอบ : คำตอบเดียวกับข้อ 36

38. เคยจินตนาการแบบอีโรติกกับผู้ชายที่กำลังอยู่ตรงหน้าบ้างไหม
ตอบ : ไม่เคยเพราะแค่เจอหน้าก็อารมณ์หดหมดแล้ว แต่ถ้ากับดารา ก็ไม่แน่

39. ชุดโชว์ร่องอกน่ะ อยากให้ผู้ชายดูใช่ไหม
ตอบ : คล้ายๆกับคำตอบข้อ 20

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2550

ลูกชาติหมา

ลูกชาติหมา
พ่อแบกไถไปนายามฟ้าสาง
ลูกอยู่อย่างสุขีไม่มีหมอง
แม่ปลูกผักตักน้ำจากลำคลอง
ลูกไปจองตั๋วหนังแต่ยังวัน
พ่อถากฟันคันนายามฟ้าสาย
ลูกสบายอัดบุหรี่มีความฝัน
แม่กินข้าวคลุกน้ำปลามาหลายวัน
ลูกสุขสันต์ข้าวมันไก่จานใหญ่พอ
พ่อมือแตกเขียวซ้ำพร่ำถางป่า
ลูกเที่ยวบาร์เดินโชว์โก้จริงหนอ
แม่นุ่งผ้าผืนหนึ่งซึ่งมอซอ
ลูกแสนหล่อนุ่งเดฟเจ็บไปเลย
พ่อทนสู้ถางป่าอย่างเปิดอก
ลูกกลับพกระเบิดอย่างเปิดเผย
แม่กลัวลูกเงินหมดส่งชดเชย
ลูกไม่เคยฝักไฝ่ตั้งใจเรียน
พ่อภูมิใจพากเพียรลูกเรียนต่อ
ลูกมาก่ออันพาลไม่อ่านเขียน
แม่ปวดเมื่อยเหนื่อยล้าแทบอาเจียน
ลูกกลับมาพากเพียรเบียดเบียนเงิน
พ่อแม่ส่งเงินให้ลูกใช้หมด
สุดรันทดอดสูเมื่อรู้ว่า
ลูกทำตัวชั่วเกินผลาญเงินตา
ลูกชาติหมาแหลกเหลวเลวระยำ
ตั้งใจเรียนกันนะครับพ่อแม่อุตสาห์หาเงินมาด้วยความยากลำบากเพื่อส่งเราเรียน อย่าทำให้ท่านต้องผิดหวังนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2550

ข้อความชิ้นสุดท้าย

To พี่ๆ RAJA'96
พี่จะสูญสิ้นอะไรก็สูญสิ้นได้ แต่พี่
อย่าสูญเสียซึ่งกำลังใจในการสร้าง
ประโยชน์ต่อสังคม และความดี
เพรานั้นถือเป็นเกียรติอันสูงส่ง
ของชาวกัลปพฤกษ์
\(^_^)\ \(^_^)/ /(^_^)/
ยามใดที่ท้อใจให้นึกถึงว่ายังมี
อาจารย์และรุ่นน้องทุกคน
ให้กำลังใจอยู่เสมอ เฮ้ เฮ้!!
RAJA '97 M.5/1.............
23. MAR. 2004

The last lizard



จิ้งจกเดียวดาย เจ้าจิ้งจกตื่นขึ้นพบว่าเหลือมันอยู่ตัวมันอยู่ตัวเดียวนโลก ครอบครัว เพื่อนฝูงของมัน หายไปหมด กระทั่งพวกจิ้งจก ที่ชอบรังแกมัน ก็หายไป มีมันเหลืออยู่ตัวเดียวในโลก เจ้าจิ้งจกคิดถึงครอบครัว คิดถึงเพื่อน มันคิดถึงกระทั่งศัตรูของมัน อยู่กับศัตรูยังดีกว่าอยู่คนเดียว มันว่าอย่างนั้น เจ้าจิ้งจกเหม่อมองอาทิตย์อัศดง เจ้าจะมีชีวิตอยู่ทำไม.... ถ้าเจ้าไม่มีใครคุยด้วย ความคิดของเจ้าจะมีความหมายอะไร ถ้าเจ้าเป็น "จิ้งจกเดียวดาย


" The last lizard "The lizard wakes up and finds he's the lest lizard alive His family and friends are all gone Those he didn't like, those who picked on him in school, are also gone The lizard is all alone He misses his family and friends Even his enemies It's better being with your enemies than being alone That's what he thought Staring at the sunset, he thinks 'What is the point in living.... If I don't have anyone to talk to?' But even that thought doesn't mean anything when you're the last lizard."

ความสุขแบบง่ายๆ

1.นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รักรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
3.สองปลูกต้นไม้สักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน
5.ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า แฮะๆ
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้นลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร
9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุรสวยมากๆ ทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหนคะ?”
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดว่า “จะเอาอย่างไร”
12.สองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จงเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีก

ชีวิต

ชีวิตคนเราเหมือนเม็ดทรายเล็กๆ ในทะเลทราย
สุดแต่ลมจะหอบไปทางไหน
แต่ท้ายสุด ก็ต้องร่วงหล่นและจมหายไป
กับพื้นทรายด้วยกันทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าจะถือกำเนิดจากแหล่งเดียวกัน
แต่บางคนก็เป็นเพียงเม็ดทรายในทะเลทราย
ในขณะที่บางคนเป็นทรายที่ถูกหล่อหลอม
ให้เป็นเครื่องแก้วเจียระไน
เธอเลือกจะเป็นสิ่งใดๆ

เรื่องมีอยู่ว่า

กาลครั้งหนึ่ง
พี่น้องสองคนไปสำรวจที่ตั้งโรงงานทำรองเท้า
ที่ตำบลหนึ่ง
เมื่อไปถึง ผู้พี่ส่งข่าวมาว่า
โรงงานของเราคงตั้งที่นี่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย
คนน้องรายงานมาว่า
โรงงานของเราจะเป็นแห่งแรกของที่นี่ ที่ไม่มีคู่แข่งเลย
เธอเคยเห็นไหมเล่าว่า ในสิ่งเดียวกัน
ย่อมมองต่างกันออกไปได้
และผลของการมอง ก็ย่อมต่างกันออกไปด้วย

ความคิด

ตอนเด็กๆฉันคิดว่า
การโตเป็นผู้ใหญ่นี่ดีเนอะ
ไม่ต้องทำอะไรมากเลย
แต่เมื่อฉันโตเป็นผู้ใหญ่
"ผู้ใหญ่"
ฉันจึงรู้ว่า.....
การโตเป็นผู้ใหญ่
นี่ไม่ใชเรื่องง่ายเลย
ต้องพบกับสิ่งต่างๆ
บางครั้งหมดแรง
บางครั้งท้อ
แต่ฉันก็ดีใจกับสิ่งที่ฉันได้พบเจอ
อย่างน้อยมันก็จะทำให้ฉันเป็นผู้ใหญ่
ที่สมบูรณ์

ปรึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์ได้นะครับ

ใครมีปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สามารถสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ เรื่องลงโปรแกรม ควรใช้โปรแกรมอะไรดีให้เหมาะกับงาน หรือลองกดเข้าไปยัง link ที่ชื่อว่า "บทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์" ได้นะครับ โดนไวรัสแล้วแก้ไขไม่ได้ จะทำยังไรดี ถามได้ครับ ผ่านทางe-mail ของผมที่เพื่อนๆรู้จักแว้วว

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

มองโลกในแง่ดีเข้าไว้

งานในยุคบุกเบิกของมาร์ติน เซลิกแมน (Martin Seligman) ได้ชี้ให้เห็นว่า การมองโลกในแง่ดีคือวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างความสุขในชีวิตเรา เซลิกแมนระบุว่าคนที่มองโลกในแง่ดีนั้น
1.จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากว่า
2.พบเจอแต่สิ่งที่นำเบิกบานในชีวิต
3.สุขภาพแข็งแรง
4.มีมิตรหายมากมาย
พื้นฐานก็คือ พวกเขาเห็นว่าปัญหาต่างๆเกิดขึ้นได้ก็ผ่านพ้นไปได้เพราะมันไม่จีรัง และพยายามไม่หมกมุ่นอยู่กับมันตามลำพังด้วย ซึ่งทำให้คนที่มองโลกในแง่ดีมีความสุขใจในชีวิตมากกว่าคนที่คิดแต่เรื่องร้ายๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วคุณล่ะ? มีปัญหาอะไรบ้างทีคุณจะสามารถคิดถึงมันในแง่ที่ดีขึ้นได้?

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550

สร้างบุคลิกภาพที่น่ามหัศจรรย์สี่ประการ



จากการวิจัยของเดวิด ไมเออร์ส (David Myers) นักจิตบำบัดในเชิงบวกชั้นแนวหน้า บอกไว้ว่า คนที่มีชีวิตมีความสุขมากกว่าคนทั่วไปมักจะมีบุคลิกภาพสี่ประการดังต่อไปนี้
1.มีความนับถือตนเองในระดับสูง
2.รู้สึกว่าควบคุมชีวิตของตัวเองได้
3.มองโลกในแง่ีดี
4.กระตือรือร้นต่อสิ่งต่างๆรอบตัว (น่าแปลกมาก แต่จริงแฮะ)
เมื่อเราสามารถเสริมลักษณะนิสัยเหล่านี้ได้แล้ว ระดับความสุขของเราก็มักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เอาล่ะตอนนี้ลองเขียนลงไปสักข้อสิว่า จะทำอย่างไรถึงจะเพาะนิสัยสี่อย่างลงในบุคลิกภาพของคุณเองได้

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2550

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เพลงมาร์ช ชมพู-น้ำเงิน

ชมพูน้ำเงิน ราชาธิวาส ยอดปรารถนา
ให้วิชา และความรู้หมู่เรา ทั้งหลาย
ให้แนวทาง เกียรติศักดิ์ ชาติชาย
ไว้ลาย พวกเรา ราชา
ฉะนั้นเรานักเรียน หมั่นเขียนอ่าน
ให้เชี่ยวให้ชาญ เฟื่องฟูปัญญา
ขยันเรียน หมั่นเพียร ทุกเวลา
ทั้งกีฬา ทั้งเรียน เพียรดี
เราคือชาวราชา
เกริกเกียรติก้องฟ้า คือ ราชา
พวกเรา ราชา ทั่วหน้า
ชมพูน้ำเงิน เปรมปรีดิ์
นั่นน้องนี่พี่ แซ่ซร้องยินดี
ต่างมั่นในไมตรี ไม่มีจืดจาง
พวกเราราชา ทั่วหน้า
ชมพูน้ำเงิน เปรมปรีดิ์
นั่นน้องนี่พี่ ต่างล้วนมีไมตรี
ต่างรักสามัคคี ให้ชมพู-น้ำเงิน
เจริญ
ไชโย-ไชโย

~@งานกีฬาสีอ่ะ@~







วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550